17.6.13

ชีเชนอิตซา : ร่องรอยอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของชาวมายัน

กลุ่มคนที่เชื่อเรื่องวันสิ้นโลก เดินทางไปเยี่ยม ชมอย่างล้นหลาม หลังเกิดกระแสข่าวลือวันสิ้นโลก นั่นก็คือ ชีเชนอิตซา โบราณสถานซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศเม็กซิโก ซึ่งในอดีตเคยเป็นแหล่งอารยธรรมอันรุ่งเรืองของชนเผ่ามายัน
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgFi1HMvqcTnwsekc-TzdxwX4VnRUqcw0LdZM49bvktWrT4wEDuqrKks7-DTfulv5BLx3KpxhlgzYoW05ALhc7R7PWmC9nyzz5M1hgqIr5cipXsvSe6ZUKV9pMS_21fyf62GptiORfpOdU/s400/sisen.gif

ชีเชนอิตซา คือโบราณสถานที่สร้างขึ้นในสมัยอารยธรรมมายัน หรือระหว่างศตวรรษที่ 10 - 15  ปัจจุบันตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือคาบสมุทรยูคาตัน ทางตอนกลางของประเทศเม็กซิโก ชีเชนอิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายัน และถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายันด้วย


โดยนักโบราณคดีคาดว่า ชีเชนอิตซาเคยเจริญรุ่งเรืองสูงสุดประมาณปี ค.ศ. 600-1200  ซึ่งนอกจากจะเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางด้านศาสนาของคาบสมุทรยูคาตันอีกด้วย  ซึ่งโบราณสถานแห่งนี้ประกอบด้วยอาคารหิน เช่น วิหารพีระมิด พระราชวัง หอดูดาว และโรงอาบน้ำ เป็นต้น แต่ราวต้นศตวรรษที่ 13 ชาวมายันก็ได้ละทิ้งอาณาจักรอันรุ่งเรืองแห่งนี้ไป จนกระทั่งพื้นที่แห่งนี้ถูกกลืนหายไปในป่าทึบ ซึ่งเหตุผลของการอพยพออกจากพื้นที่แห่งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัด


ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นที่สุด ที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนชีเชนอิตซาแห่งนี้ ต้องหยุดมอง และชื่นชมกับความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ ก็คือวิหารแห่งกูกัลคัน หรือเอลกาสตีโญ (El Castillo) ซึ่งเป็นพีระมิดขั้นบันไดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางโบราณสถานดังกล่าว โดยพีระมิดแห่งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความฉลาดหลักแหลมของชาวมายันในด้านดาราศาสตร์ เพราะบันไดทางขึ้นของที่นี่ มีทั้งหมด 4 ด้าน ด้านละ 91 ขั้น เมื่อรวมกันจะได้ 364 ขั้น และเมื่อนับรวมแท่นที่อยู่ด้านบนสุด ก็จะเป็น 365 ขั้นพอดี ซึ่งสื่อถึงจำนวนวันในรอบ 1 ปี


นอกจากนี้ พีระมิดแห่งนี้ ยังหันหน้าในตำแหน่งที่สอดรับกับการเกิดวิษุวัต (Equinox) หรือปรากฏการณ์ที่โลกมีกลางวันเท่ากับกลางคืนอีกด้วย โดยภายในพีระมิด มีทางแคบๆ ที่พาไปสู่คูหาลับยอดวิหาร ตรงนี้เองที่นักโบราณคดีพบแท่นหินสลักที่เรียกว่า บัลลังก์เสือจากัวร์  ที่ทาด้วยสีแดงสด พร้อมฝังหยกเป็นดอกดวงตู่กับรูปสลักของ ชาคมุล อันเป็นรูปแบบหนึ่งของศาลหิน ที่จะประกอบด้วยหุ่นเอนกายตัวหนึ่งถือชาม หรือถาดอยู่เหนือท้อง


นักโบราณคดีเชื่อว่า ถาดนี้เป็นที่วางกำยานเซ่นสรวงรูปสลักดังกล่าว ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำสาส์น ถึงเทพเจ้า ส่วนชามอาจจะใช้สำหรับใส่หัวใจที่ควักจากเหยื่อบูชายัญ ระหว่างที่เกิดวิษุวัตในฤดูใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วง ซึ่งตรงกับเดือนมีนาคมและกันยายน โดยในช่วงนั้น แสงอาทิตย์จะส่องต้องขั้นบันไดด้านเหนือของพีระมิด และปรากฏภาพเงาอันน่าตื่นตะลึงที่ดูคล้ายงูกำลังเลื้อยขึ้นพีระมิดไปพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ที่ไต่ข้ามท้องฟ้า


ปัจจุบัน ชีเชนอิตซา ได้รับการขนานนามให้เป็นมรดกโลก และได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่สนใจไปเยือน สามารถเดินทางไปได้ทุกวัน แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ในการเดินทางไปท่องเที่ยวชีเชนอิตซานั้น ก็คือช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะเกิดวิษุวัตพอดี โดยนักท่องเที่ยวจะได้เห็นปราฏการณ์ทางธรรมชาติของการตกกระทบของแสงอาทิตย์ กับพีระมิด บริเวณวิหารแห่งกูกัลคัน ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยากเป็นอย่างยิ่ง

เมืองซีเชน อิตซา เขตยูคาทาน เม็กซิโก

เมืองซีเชน อิตซา เขตยูคาทาน เม็กซิโก



  สถานที่ตั้ง
ประเทศเม็กซิโก

  ชื่อสถานที่
ชิเชน อิตสา
: Chichen Itza

ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

   ชี เชนอิตซา  เป็นแหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยชาวมายาในเขตวัฒนธรรมเมโสอเมริ กัน ตั้งอยู่ในคาบสมุทรยูกาตัง รัฐยูกาตัง ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก

      ประวัติความเป็นมา
 

ชิเชน อิตสา เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารจำนวนมากมายซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ตัววิหารก่อสร้างซ้อนกันเป็นชั้น ๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า มหาวิหารแห่งนักรบ สร้างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สร้างทีหลัง วิหารเก่าแห่งชัคมูล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไปใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้า โดย ใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น

    ลักษณะ โดยทั่วไปของชิเชน อิตสา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้น ๆ มีบันไดกลาง รอบ ๆ ทำเป็นบริเวณตลาดทำนองเดียวกับสถานสถิตยุติธรรมของพวกโรมัน ซึ้งอยู่กลางเมือง ที่สาธารณะ เป็นที่รวมของฝูงประชาชน

    ชน เผ่ามายาแห่งเม็กซิโก สืบสายมาจากคนพวกแรกที่เดินทางจากเอเชีย เข้ามายัง อเมริกา ทางช่องแคบเบริ่ง ได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมทั้งในด้านเหี้ยมโหดอันป่าเถื่อน และความมี สติปัญญาอันสูงส่งในขณะเดียวกัน

    พวก มายาฝึกความเสียสละด้านมนุษยชาติ ควักหัวใจผู้ที่รับการบูชาออกสังเวยพระเจ้า ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาความรู้ด้านดาราศาสตร์ ศิลปะของสถาปัตยกรรม ทางอักษรศาสตร์ ด้านการเขียนบันทึกด้วยตัวอักษรพิเศษ และการค้นพบค่าของเลข 0 ทางคณิตศาสตร์ แต่ก็น่าแปลก ที่พวกนี้มิได้ค้นพบประโยชน์อันเกิดจากล้อเลื่อน

    ศูนย์ กลางของอารยธรรมของคนพวกนี้อยู่ที่ชิเชน อิตสา ในคาบสมุทรยุกาตัน ผู้ค้นพบ ขุมอารยธรรมเหล่านี้แล้วนำออกมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้ทราบคือ นายธอมป์สัน ชาวอเมริกา ผู้ใช้ ชีวิตซอกซอนท่องเที่ยวไปในหมู่พวกมายาด้วยความสนใจจะศึกษาสิ่งลึกลับต่าง ๆ

บาง ทีอาจกล่าวได้ว่าพวกมายาจะเป็นต้นตำรับของพวกบูชาความสงบที่ต้องการศาสนา รุนแรง นองเลือด หลังจากที่เคยพ่ายแพ้พวกชนเผ่าโตลเต็ค ซึ่งอยู่ตอนกลางของเม็กซิโก ในท้ายที่สุด พวกมายาก็ตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ที่นิยมความรุนแรงที่เหนือกว่า ในเมื่อผู้ชนะที่กระหายเลือด โลภที่ จะได้ทอง และทรัพย์สมบัติของพวกมายาอย่างเต็มที่

"ชิเชน อิตซา" สิ่งมหัศจรรย์ของชาวมายา อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าคำทำนายวันสิ้นโลก



โบราณสถานในเมืองติกัล แสดงให้เห็นภาพอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของชาวมายา
       พูดกันมาหลายปี เกี่ยวกับเรื่องวันสิ้นโลกในปี 2012 และในที่สุดเวลาก็ดำเนินมาจนใกล้วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2010 ที่คนบางกลุ่มเชื่อกันว่าจะเป็นวันสิ้นโลก
     
       ความเชื่อดังกล่าวมาจากปฏิทินของชาวมายา ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน เป็นอาณาจักรที่กว้างใหญ่ กินพื้นที่ 3 ประเทศคือเม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัส
     
       ชาวมายามีความสามารถทางดาราศาสตร์ สามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ ปฏิทินของชาวมายาเป็นที่ยอมรับว่ามีความเที่ยงตรงอย่างมาก เพราะเป็นปฏิทินที่ทำขึ้นจากระบบดวงดาว โดยปฏิทินนี้ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไรเลยถึง 380,000 ปี
     
       ทั้งนี้ ปฏิทินของชาวมายากลับสิ้นสุดลงถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ทำให้คนรุ่นหลังตีความไปว่า วันสิ้นสุดของโลกคือวันดังกล่าว บ้างก็ว่าจะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรุนแรงจนทำให้โลกถึงกาลล่มสลาย
     
       แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 ก็ตาม ชาวมายาก็ได้ทำชาวโลกยุคปัจจุบันได้ปั่นป่วนกันไม่น้อย แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ ปัจจุบันนี้ อาณาจักรมายาโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ลึกลับชวนค้นหา ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างหลายอย่างด้วยกันที่ยังคงสภาพมาจนปัจจุบัน โดยอาณาจักรมายามีเมืองสำคัญหลายเมือง คือ เมืองติกัล (Tikal) เพเตน (Peten) ในประเทศกัวเตมาลา ปาเลงกอ (Palenque) ในภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก เมืองโคปัน (Copan) ในประเทศฮอนดูรัส เมืองอิทซา (Itzar) อักซ์มัล (Uxmal) และมายาปัน (mayapan) ในบริเวณคาบสมุทรยูคาตัน
ชิเชน อิตซา ลักษณะคล้ายปิรามิดยอดตัด
       สำหรับโบราณสถานสำคัญของอาณาจักรมายา ได้แก่ “ชิเชน อิตซา” ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งได้รับการโหวตจากคนทั่วโลกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ที่ได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 โดยชิเชน อิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายา ถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายา การผสมผสานทางโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างหลากหลายชนิดของชิเชน อิตซา ทั้งพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (เทพเจ้าสูงสุดของชาวมายาซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์) ซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้ายและเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ของอารยธรรมมายาด้วย นอกจากนั้นยังมีวิหารชัค มุล (รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะแบบมายา) และมีห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสาหลายพันต้นและลานกว้างที่ใช้เป็นที่ชุมนุมของ ประชาชนในอดีต
     
       ชิเชน อิตสา เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารจำนวนมากซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ตัววิหารรูปร่างคล้ายปิรามิดยอดตัด ก่อสร้างซ้อนกันเป็นชั้นๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตร.กม. วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า มหาวิหารแห่งนักรบ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไปใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้า
     
       ลักษณะโดยทั่วไปของชิเชน อิตสา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้นๆ ประกอบด้วยบันไดทางขึ้น 4 ด้าน ด้านละ 91 ขั้น รวมกับยกพื้นที่ฐานของพีระมิดอีกนับรวมเป็นได้ 365 ขั้น เท่ากับจำนวนวันในหนึ่งปี ถือเป็นปฏิทินถาวรอย่างหนึ่งของชาวมายา โดยในวันที่ 21 ธ.ค. นี้ ที่เมืองโบราณ ชิเชน อิตซา จะมีการจัดงานที่มีชื่อว่า "จุดสิ้นสุดปฏิทินอันยาวนานของชาวมายา" อีกด้วย
     
       และนอกจากชิเชน อิตซา แล้ว ยังมีปิรามิดและวิหารโบราณของอาณาจักรมายาอีกหลายแห่งด้วยกันที่ล้วนแต่มีใหญ่โตสวยงาม อาทิ ตีกัล ซึ่ง เป็นซากเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายา ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตเอลเปเตน ประเทศกัวเตมาลา ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก สถาปัตยกรรมที่ตั้งอยู่ภายในที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงเวลาที่เมืองเจริญถึงขีดสุดคือช่วงยุคคลาสสิก คือ ค.ศ. 200 ถึง 900 ซึ่งช่วงนั้นเมืองตีกัลเป็นศูนย์กลางทั้งการปกครอง เศรษฐกิจ และการทหาร เนื่องจากเมืองตั้งอยู่ในจุดที่เชื่อมโยงกับพื้นที่อื่นๆ ของเมโสอเมริกาได้ทั้งหมด เช่น เมืองเม็กซิกัน เมืองติโอติวากัน
     
       หมายเหตุ : ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ หรือเดิมคือ เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน จัดทำขึ้นโดยองค์กรของสวิตซ์ The New Open World Corporation (NOWC) ซึ่งผลสรุปสุดท้ายได้ประกาศเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดยไม่เรียงตามลำดับคะแนน / วิกิพีเดีย
1.ชิเชน อิตซา คาบสมุทรยูคาตาน เม็กซิโก
ชิเชน อิตซาเป็นภาษามายาแปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ชิเชน อิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายา ถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายา การผสมผสานทางโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างหลากหลายชนิดของชิเชน อิตซา ทั้งพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (เทพเจ้าสูงสุดของชาวมายาซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์) วิหารชัค มุล (รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะแบบมายา) ห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสาหลายพันต้นและลานกว้างที่ใช้เป็นที่ชุมนุมของ ประชาชนในอดีตนั้น แสดงให้เห็นถึงความพิเศษในเชิงสถาปัตยกรรมด้านการจัดวางองค์ประกอบของ เนื้อที่และพื้นที่ใช้สอย โดยเฉพาะในส่วนของพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคานซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้าย และเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายาด้วย
2.รูปปั้นพระเยซูคริสต์ นครริโอเดอจาเนโร บราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาโด มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดาซิลวา คอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี้ ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ.2474 รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง ของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครริโอเดอจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี
3.มาชู ปิกชู ประเทศเปรู
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิ ปาชาคูเทค ยูปันกี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอินคา ได้สร้างเมืองแห่งหนึ่งบนภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกชื่อว่า มาชู ปิกชู (มีความหมายว่าภูเขาโบราณ) ปัจจุบันอยู่ในประเทศเปรู ที่ตั้งของเมืองนี้ค่อนข้างกันดารยากที่จะเข้าถึง โดยตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนและอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา ซึ่งภายหลังชาวอินคาได้อพยพออกจากเมืองนี้เนื่องจากเกิดโรคระบาดขึ้น หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามให้กับชาวสเปน เมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษ จนกระทั่งได้รับการค้นพบใหม่โดยฮิราม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2454
4.กำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีนตั้งอยู่บนพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน (ราวปี พ.ศ.322-337 หรือ 221-206 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีจุดประสงค์ในการเชื่อมโยงป้อมปราการให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อป้องกันการ รุกรานจากชนเผ่ามองโกลในอดีต มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 6,700 กิโลเมตร ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ผู้คนจำนวนหลายพันคนต้องอุทิศชีวิตให้กับสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมานี้ นอกจากนี้ เคยมีผู้กล่าวไว้ว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างเพียงอย่างเดียวในโลกที่ สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ กำแพงเมืองจีนได้รับการคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2529
 
5.เปตรา ประเทศจอร์แดน
เปตราเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าหิน เมืองโบราณเปตราตั้งอยู่ในทะเลทราย เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาเรตัสที่ 4 (9 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.40) ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมันมีเนื้อที่ สามารถจุผู้ชมได้ถึง 4,000 คน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณที่ หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้
6.ทัชมาฮาล เมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ชาห์ จาฮัน เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระนางมุมทัซ มาฮาล มเหสีที่พระองค์ทรงรักมากที่สุดซึ่งเสียชีวิตขณะมีอายุได้เพียง 39 ชันษาหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างคริสต์ศักราช 1631-1648 สร้างโดยใช้หินอ่อนสีขาวทั้งหลัง รวมทั้งใช้วัสดุในการตกแต่งชั้นเลิศจากทั่วเอเชียซึ่งขนส่งโดยใช้ช้างกว่า 1,000 ตัว ทัชมาฮาลได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปะแบบมุสลิมที่สวยงามสมบูรณ์แบบมากที่สุด ในอินเดีย นอกจากนี้ ทัชมาฮาลยังเป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดของอินเดีย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมทัชมาฮาลราวปีละเกือบ 3 ล้านคน
7.สนามกีฬาโคลอสเซียม กรุงโรม ประเทศอิตาลี
สิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งเป็นวงกลม ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงโรมแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ของอาณาจักรโรมัน สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร แนวคิดในการออกแบบโคลอสเซียมนี้ยังคงมีความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็นได้จากการออกแบบสนามกีฬาแทบทุกแห่งในโลกนับตั้งแต่นั้นมาต้อง ปฏิบัติตามแม่แบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้รับรู้จากภาพยนตร์และหนังสือบันทึกทาง ประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าสนามกีฬาแห่งนี้มีแต่การต่อสู้และการแข่งขัน ที่โหดร้ายต่างๆ นานา เพื่อความสุขของผู้ชมเท่านั้นก็ตาม

วิกิพีเดีย
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ทางธรรมชาติ
http://webboard.yenta4.com/topic/505340

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่!?



"โหวต 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่"

7 กรกฎาคม ค.ศ.2007 หรือพ.ศ.2550 (07/07/07) นี้ จะเป็นวันที่ "มูลนิธิ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่" (New 7 Wonders Foundation : N7W) ซึ่งดำเนินการมายาวนาน 7 ปีเต็ม แถลงความสำเร็จโครงการระดับโลก

ประกาศผลการเปิดให้พลเมืองโลกทั่วทุกมุมโลก

ลงคะแนนเสียงผ่านทางเว็บไซต์ www.new7wonders.com และทางโทรศัพท์ เพื่อลงมหาประชามติ ว่า สถานที่แห่งไหนในโลกใบนี้คู่ควรกับการยกย่องขึ้นเป็น "7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่" แทนที่ "7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ" ซึ่งจนถึงปัจจุบันเสื่อมสลายไปหมดแล้ว คงเหลือ "มหาพีระมิดแห่งกิซา" อยู่เพียง 1 เดียว

มูลนิธิ "N7W" ก่อตั้งโดยนายเบอร์นาร์ด เวบเบอร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวสวิส/นาเดียน เมื่อปีพ.ศ.2543

วัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนจัดหาเงินทุนอนุรักษ์-บูรณะมรดกวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่อันเกิดจากการสรรค์สร้างของมนุษย์

ก่อนหน้านี้ เวบเบอร์กับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญสถาปัตยกรรม นำโดย นายเฟเดอริโก เมเยอร์ อดีตผอ.องค์การยูเนสโก ได้คัดเลือกโบราณสถาน สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมถึงสิ่งก่อสร้างที่มีความโดดเด่น 77 แห่งทั่วโลก




หลังจากนั้น ได้ทยอยเปิดให้ชาวโลกลงคะแนนคัดเลือกมาตามลำดับ กระทั่งขณะนี้เหลืออยู่ 21 แห่ง ซึ่งกำลังรอการลงคะแนนขั้นตอนสุดท้ายให้เหลือ 7 แห่ง

ข้อมูลจากเว็บวิกิพีเดีย ระบุว่า "7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ" ประกอบด้วย

1. มหาพีระมิดแห่งกิซ่า ของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสต์กาล เป็นสิ่งมหัศจรรย์เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน

2. สวนลอยบาบิโลน สร้างโดยพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2

3. เทวรูปเทพเซอุส ที่อารามโอลิมเปีย สูง 12 เมตร

4. เทวาลัยอาร์เทมิส ที่เอเฟซุสในเขตเอเชียไมเนอร์

5. อนุสรณ์สถานเมาโซเลอุม ตั้งอยู่ในฮาลาคาร์นาสซุสในเอเชียไมเนอร์ สร้างโดยราชินีอาร์เทมิเซีย เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่กษัตริย์เมาโซลุสแห่งคาเรีย

6. เทวรูปเฮลิออส แห่งโรเดสของกรีกในทะเลเอเจียน เป็นรูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ของพระอาทิตย์ หรือ เทพเฮลิออส ความสูง 32 เมตร

7. ประภาคารฟาโรส แห่งอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สร้างในสมัยพระเจ้าปโตเลมี




มูลนิธิ "N7W" อ้างว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ข้างต้น คัดเลือกโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกยุคโบราณเพียงคนเดียว เพื่อนำมาจัดทำคู่มือท่องเที่ยวให้ชาวเอเธนส์

ดังนั้น จึงยุติธรรมกว่าถ้าครั้งนี้เปิดให้คนทั่วโลกลงมติพร้อมกันเป็นครั้งแรก และเปิดทางให้ความมหัศจรรย์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้าไปมีส่วนร่วมผสมผสานเข้ากับมรดกโลกสมัยเก่าที่มีอายุนับพันปีอีกด้วย ซึ่งล่าสุดมีคนเข้ามาลงคะแนนแล้วทั้งสิ้นถึง 40 ล้านเสียง

รายได้ครึ่งหนึ่งจากสปอนเซอร์ของโครงการนี้จะใช้สำหรับการดูแลฟื้นฟูสิ่งมหัศจรรย์และมรดกสำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลกต่อไป

อย่างไรก็ตาม มีเสียง "คัดค้าน" จากหน่วยราชการบางประเทศ ว่า "N7W" ไม่มีสิทธิ์เป็นตัวตั้งตัวตี ถือวิสาสะชี้นิ้วบอกว่า สิ่งไหนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกตามอำเภอใจ

โดยเมื่อเดือนเม.ย. กระทรวงวัฒนธรรมอียิปต์ ชาติที่ตั้งพีระมิดกิซา ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มต่อต้าน เพราะมองว่าเป็นการทำเพื่อสร้างประโยชน์ทางการค้า เอื้อประโยชน์ให้อุตสาหกรรมทัวร์บางกลุ่ม ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนโครงการล้วนๆ ขณะที่บางชาติแสดงความยินดี เพราะเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ




แม้จะมีมีเสียงต้านออกมาบ้าง แต่ในที่สุดรายชื่อ 21 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกก็ปรากฏสู่สาธารณะจนได้ และส่วนใหญ่มีชื่อเสียงเรียงนามคุ้นหูชาวโลก ได้แก่

- เมืองโบราณอาโครโปลิส กรุงเอเธนส์ กรีซ (Acropolis)

- ปราสาทและป้อมปราการอัลฮัมบรา เมืองเกรดานา สเปน (Alhambra)

- นครวัด กัมพูชา (Angkor)

- เมืองซีเชน อิตซา เขตยูคาทาน เม็กซิโก (Chichen Itza)

- รูปปั้นพระเยซูคริสต์ บนยอดเขาเมืองริโอ เดอ จานิโร บราซิล (Christ Redeemer)

- สนามโคลอสเซียม กรุงโรม อิตาเลียน (Colosseum)

- รูปปั้นหินโมอาย เกาะอีสเตอร์ ชิลี (Easter Island Statutes)

- หอไอเฟล กรุงปารีส ฝรั่งเศส (Eiffel Tower)

- กำแพงเมืองจีน (Great Wall)

- สุเหร่า โซเฟีย นครอิสตันบุล ตุรกี (Hagia Sophia)

- วัดคิโยมิสุ เมืองเกียวโต ญี่ปุ่น (Kiyamizu Temple)

- พระราชวังเครมลิน/ วิหารเซนต์เบซิล กรุงมองโก รัสเซีย (Kremlin/St. Basil)

- เมืองสาบสูญแห่งอินคา "มาชูปิกชู" (Machu Picchu)

- ปราสาทนอยชวานสไตน์ เยอรมนี (Neuschwanstein Castle)

- "เปตรา" เมืองนครหินสีชมพู จอร์แดน

- มหาพีระมิดกิซา อียิปต์ (Pyramids of Giza) ซึ่งตอนแรกไม่ติดโผ แต่ทางมูลนิธินำชื่อเข้ามาใหม่เพื่อให้เกียรติในฐานะ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ยังเหลืออยู่

- เทพีเสรีภาพ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (Statue of Liberty)

- กองหินประหลาด "สโตนเฮนจ์" เมืองเอเมสบิวรี่ อังกฤษ (Stonehenge)

- โรงอุปรากร "โอเปร่า เฮาส์" นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย (Sydney Opera House)

- ทัชมาฮาล เมืองอักรา อินเดีย (Tal Mahal)

- เมืองโบราณ "ทิมบัคตู" มาลี (Timbuktu)


สำหรับผู้สนใจศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ราวการจัดอันดับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ยังคงติดตามได้จากเว็บ www.new7wonders.com

9.11.12

เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก


เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คือ สิ่งก่อสร้างที่มีความยิ่งใหญ่และโดดเด่น ทั้งหมด 7 แห่งด้วยกัน โดยมีการกล่าวถึงครั้งแรกในงานของเฮโรโดตุส (Herodotos หรือ Herodotus เมื่อราว 5 ศตวรรษก่อนคริสตกาล แต่หลังจากนั้นก็การอ้างถึงจากกวีชาวกรีก เช่น คัลลิมาฆุส แห่งคีเรนี, อันทิพาเตอร์ แห่งซีดอน และฟิโล แห่งไบเซนไทน์ เมื่อราวศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ หรือสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลก ในบัญชีแรก เรียกกันว่า เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ และหลังจากนั้น ยังมีบัญชีเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางและยุคปัจจุบัน โดยไม่ปรากฏผู้จัดทำรายการอย่างชัดเจน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
  1. มหาพีระมิดแห่งกีซา ของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เก่าแก่ที่สุด และยังคงปรากฏอยู่จนปัจจุบัน และมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์
  2. สวนลอยแห่งบาบิโลน สร้างโดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 เมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 6 ปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานหรือซาก แต่คาดว่าน่าจะอยู่บริเวณเดียวกับกรุงบาบิโลนในประเทศอีรัก
  3. เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย ที่เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีก สร้างเมื่อประมาณ 462 ปีก่อนคริสตกาล สร้างและตกแต่งด้วยทองคำ งาช้าง และอัญมณีต่างๆ มีความสูง 12 เมตร ภายหลังแผ่นดินไหวเสียหายจนหมดสิ้น
  4. วิหารอาร์เทอมีส (หรือ วิหารไดอานา) ที่เอเฟซุสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 4 ภายหลังถูกทำลายโดยพวกโกธส์จากเยอรมันที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อปี พ.ศ. 805 ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง
  5. สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส ที่ฮาลิคาร์นัสซัสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างโดยพระราชินีอาร์เทมิเซีย เป็นอนุสรณ์สถานแก่กษัตริย์มอโซลุสแห่งคาเรียที่สวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวและต่อมานำไปใช้ในการก่อสร้างโดยอัศวินแห่งโรดส์ ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง
  6. เทวรูปโคโลสซูส ในทะเลเอเจียน ประเทศกรีก เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของสุริยเทพ หรือเฮลิเอิส สูงประมาณ 32 เมตร ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวหลังการสร้างเพียง 60 ปี ปัจจุบันไม่ปรากฏซาก
  7. ประภาคารฟาโรส แห่ง อเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สมัยพระเจ้าปโตเลมี ประมาณ 271 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงเมื่อแผ่นดินไหวในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันมีป้อมขนาดเล็กอยู่บนซากที่เหลือ

เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง

สิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดจัดเป็นสิ่งก่อสร้างของโลกสมัยกลาง ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครได้กำหนดไว้ และรายการในยุคกลางก็ระบุไว้ไม่ตรงกัน แต่โดยมากจะยอมรับกับรายการต่อไปนี้
  1. โคลอสเซียม สนามกีฬาแห่งกรุงโรม ประเทศอิตาลี
  2. หลุมฝังศพแห่งอะเล็กซานเดรีย สุสานใต้ดินเมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
  3. กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน
  4. สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ
  5. เจดีย์กระเบื้องเคลือบ เมืองหนานกิง ประเทศจีน
  6. หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี
  7. สุเหร่าโซเฟีย แห่งคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือ กรุงอีสตันบูล) ประเทศตุรกี

เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน

กลุ่มวิศวกรโยธาแห่งสหรัฐอเมริกาได้รวบรวมรายชื่อของเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ในโลกยุคปัจจุบันไว้ดังนี้
  1. อุโมงค์รถไฟใต้ทะเล ประเทศอังกฤษ-ฝรั่งเศส
  2. ซีเอ็น ทาวเวอร์ ประเทศแคนาดา
  3. เขื่อนอิไตปู ประเทศบราซิล-ปารากวัย
  4. ตึกเอ็มไพร์สเตต ประเทศสหรัฐอเมริกา
  5. เดลต้า เวิร์ค ประเทศเนเธอร์แลนด์
  6. สะพานโกลเดนเกต ประเทศสหรัฐอเมริกา
  7. คลองปานามา ทวีปอเมริกาใต้

Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์

Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์
เนื้อเรื่องย่อ
Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์-เรื่องราวความมหัศจรรย์เริ่มจาก “เจส” และ “เลสลี่” เด็กชายและหญิงที่จากไม่ชอบหน้ากลายมาเป็นเพื่อนรักกัน และทั้งคู่ได้ค้นพบดินแดนอันอัศจรรย์สุดคณานับ ดินแดนที่เรียกขานว่า “Terabithia”ที่ทีราบิเตีย...ต้นไม้จะเดินได้...แมลงจะรบได้...ยักษ์จะปกป้อง...อินทรีจะพิฆาต ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ แค่หลับตา แล้วเปิดใจให้กว้าง..... และในดินแดนทีราบิเตียนี้เอง ที่บังเกิดสิ่งไม่คาดคิดเกินกว่าที่ใครจะกล้าจินตนาการ -Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์
เบื้องหลังหนัง (Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์) 

                   แดนกีวีเสน่ห์แรง กองถ่ายหนังทั่วโลกตบเท้าไปถ่ายทำเตรียมอวดโฉมในแฟนตาซีผจญภัยเรื่องเยี่ยม ‘Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์’ มนต์เสน่ห์แห่งนิวซีแลนด์ดึงดูดกองถ่ายหนังฟอร์มยักษ์มานักต่อนัก ล่าสุดเราจะได้เห็นนิวซีแลนด์เป็นฉากหลังของดินแดนมหัศจรรย์ทีราบิเตียใน ภาพยนตร์แฟนตาซีผจญภัย ประเทศนิวซีแลนด์ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามของภูมิประเทศ และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่ในวงการภาพยนตร์โลก เป็นที่รู้กันว่า นิวซีแลนด์คือโลเคชั่นที่กองถ่ายภาพยนตร์จากทั่วทุกมุมโลกนิยมยกกองไปถ่ายทำ โดยเฉพาะเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดอย่าง “โอ๊คแลนด์” ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองภาพยนตร์” ของนิวซีแลนด์ นับรวมตั้งแต่ยุค 80 มีกองถ่ายภาพยนตร์และละครโทรทัศน์จากทั่วโลกยกกองมาถ่ายทำที่โอ๊คแลนด์ทั้ง หมดกว่า 157 เรื่อง รวมถึงมหากาพย์แฟนตาซีผจญภัยฟอร์มยักษ์อย่าง The Chronicles of Narnia และ The Lord of the Rings ด้วย
เหตุผล ที่นักทำหนังติดใจยกกองถ่ายมาที่โอ๊คแลนด์บ่อยๆนอกจากความสวยงามของ ภูมิประเทศแล้ว ยังเป็นเพราะโอ๊คแลนด์มีทีมงานท้องถิ่น อุปกรณ์การถ่ายภาพยนตร์ครบครัน ที่สำคัญ ค่าใช้จ่ายไม่สูง ทิม คอดดิงตัน หนึ่งในคณะกรรมการบริษัท Film Auckland และผู้จัดการงานสร้าง The Chronicles of Narnia บอกว่า “ทีมสร้างภาพยนตร์พอใจข้อเสนอและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกของเรา และค่าใช้จ่ายก็ไม่สูงมาก เพราะเงินดอลล่าร์นิวซีแลนด์ถูกกว่าดอลล่าร์สหรัฐฯ” หนึ่งในสตูดิโอฮอลลีวู้ดที่ตัดสินใจเป็นลูกค้าขาประจำของเมืองโอ๊คแลนด์ก็ คือ Walden Media และ Walt Disney ที่เคยไปถ่ายทำ The Chronicles of Narnia ที่โอ๊คแลนด์ และกลับไปอีกในโปรเจ็คต์ใหม่ Bridge to Terabithia 

  Bridge to Terabithia เล่าเรื่องราวของเด็กหญิงและเด็กชายคู่หนึ่งที่ร่วมกันสร้างอาณาจักรมหัศจรรย์ชื่อ “ทีราบิเตีย” ขึ้นในป่า ที่ซึ่งพวกเขาเดินทางเข้าไปโดยโหนเถาวัลย์ข้ามลำน้ำใกล้บ้าน ที่นั่น ทั้งคู่ตั้งตนเป็นราชาและราชินีผู้ครองดินแดน และต่อสู้กับจอมวายร้ายลูกสมุนปีศาจสนธยา
การ ถ่ายทำเกิดขึ้นที่โอ๊คแลนด์ในหลายสถานที่ ได้แก่ โรงเรียนประถมริเวอร์เฮด ในเมืองริเวอร์เฮด ที่ใช้ ถ่ายทำเป็นโรงเรียนประถมลาร์คครีกช่วงปิดเทอมฤดูร้อน , ป่าวู้ดฮิลล์ที่ได้รับการแปลงโฉมให้เป็นฉากหลังของดินแดนทีราบิเธีย , ฟาร์มทางตะวันตกเฉียงเหนือใช้ถ่ายทำเป็นห้วยและสะพานข้ามสู่ทีราบิเธีย ส่วนฉากภายในถ่ายทำในสตูดิโอฮ็อบสันวิลล์ ทางตะวันตกของโอ๊คแลนด์ นอกจากนี้ทีมงานยังได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เข้าไปถ่ายทำในนิทรรศการผล งานของ ลีโอนาร์โด ดา วินชี ที่พิพิธภัณฑ์ Auckland Memorial ด้วย   

แล้ว ทิวทัศน์อันงดงามของโอ๊คแลนด์ก็ไม่ทำให้ทีมงานผิดหวัง ความร่มรื่นเป็นธรรมชาติของป่าวู้ดฮิลล์ทำหน้าที่เป็นฉากหลังของดินแดนทีรา บิเตียได้อย่างสมบูรณ์แบบ บรรยากาศของต้นไม้หนาทึบและลำคลองใสเย็น ชวนให้รู้สึกว่าอาจจะมีดินแดนมหัศจรรย์ซ่อนอยู่จริงๆ การถ่ายทำก็เป็นไปอย่างราบรื่นจากการประสานงานที่มีประสิทธิภาพของทีมงาน ท้องถิ่น งานนี้ทั้งผู้กำกับ ทีมงาน และนักแสดงจึงแฮปปี้กันอย่างทั่วหน้า
ตัวอย่างภาพยนต์ Bridge to Terabithia 
ภาพประกอบภาพยนต์  ‘Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์’











ข้อมูลจาก :nangdee.com

ยูเนสโกตำหนิการจัดอันดับ "7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก"


เมืองโบราณ "เพตรา" ที่จอร์แดน

อาณาจักรอินคา "มาชู ปิกชู" ที่เปรู

กำแพงเมืองจีน

"ชิคเชน อิทซ่า" ในเม็กซิโก

ภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์

           วานนี้ ( 9ก.ค.) นาง ซู วิลเลี่ยมส์ โฆษกหญิงขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ ยูเนสโก ตำหนิความคิดของกลุ่มรณรงค์ "นิว เซเว่น วันเดอร์ส" องค์กรเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ให้ประชาชนร่วมโหวตทางโทรศัพท์กับอินเตอร์เน็ต เกือบ 100 ล้านคนทั่วโลก เพื่อเลือก "7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก" ครั้งใหม่

           ซึ่งนางวิลเลี่ยมส์ระบุว่า เป็นการใช้บรรทัดฐานและเป้าหมายอื่นที่ไม่ใช่ของยูเนสโก้ในด้านการกำหนด มรดกโลก

           ทางด้านนายคริสเตียน แมนฮาร์ต เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของยูเนสโก วิจารณ์ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการส่งสารในด้านลบ ไปยังประเทศเจ้าของสถานที่ซึ่งไม่ติดอันดับ สิ่งที่ทำให้ยูเนสโก้ไม่สบายใจ คือ เหตุใดจึงต้องกำหนดไว้เพียงแค่ 7 แห่ง
           สำหรับการประกาศผลที่สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปยังมากกว่า 170 ประเทศทั่วโลกและคาดว่ามีผู้ชมประมาณ 1,600 ล้านคนนั้น สถานที่มหัศจรรย์ 7 แห่งที่ได้รับเลือกประกอบด้วย

            กำแพงเมืองจีน
            อนุสรณ์แห่งความรักทัชมาฮาลของอินเดีย
            ศิลานครสีชมพู "เปตรา" ของจอร์แดน
            สนามกีฬาโคลอสเซี่ยมในกรุงโรมของอิตาลี
            รูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่เมืองริโอ เดอ จาไนโรของบราซิล
            โบราณสถาน "มาชู ปิคชู" ของชาวอินคาโบราณในเปรู 
            เมืองโบราณ "ชีเชน อิตซา" ของชาวมายันโบราณในเม็กซิโก




รูปปั้นพระเยซูตระหง่านที่บราซิล
"โคลอสเซียม" ที่โรม อิตาลี


ปราสาททัชมาฮาล เมืองอัครา ประเทศอินเดีย

เผยโฉมแล้ว 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

 

          ในเว็บไซต์มูลนิธิที่มีชื่อว่า “สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ 7 อย่าง” อันเป็นมูลนิธิไม่แสวงหากำไร ที่ก่อตั้งโดยนายเบอร์นาร์ด เวเบอร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวสวิส ได้ประกาศรายชื่อบรรดาสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ทั่วโลก วานนี้ (7 ก.ค.) หลังจากที่ริเริ่มรณรงค์ให้ประชาชนทั่วโลก เลือกสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ของโลกเมื่อปี 2542 และเปิดให้มีการลงคะแนนทางเว็บไซต์ http://www.new7wonders.com/ รวมทั้งการส่งข้อความทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ 

     สำหรับผลการลงคะแนนจากประชาชนทั่วโลกกว่า 100 ล้านคน ได้เลือก 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ได้แก่ 

          1.ชิเชน อิตซา อัสเทค ไซต์ แห่งยูคาตาน ประเทศเม็กซิโก 

          2.ไครสต์ เดอะ รีดีมเมอร์ ที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล หรือ รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ในบราซิล 

          3.กำแพงเมืองจีน 

          4.มาจู พิคจู ประเทศเปรู 

          5.เมืองโบราณเปตรา จอร์แดน 

          6.โคลอสเซียม กรุงโรม 

          7.ทัชมาฮาล แห่งอินเดีย
 


          ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการคัดเลือก สิ่งมหัศจรรย์ 7 อย่าง ครั้งนี้ เพื่อให้ชาวโลกตระหนักถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์สถานที่สำคัญต่างๆ ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งนี้ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ทั้ง 7 มีทั้งอยู่นอกยุโรป และตะวันออกกลาง 

          ขณะที่ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกดั่งเดิมที่เกิดขึ้นกว่า 2 พันปีที่ผ่านมา ล้วนตั้งอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และมีเพียงพีระมิดแห่งกิซา อียิปต์ เท่านั้นที่ยังได้รับการจัดอันดับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

เลือกใหม่..."สิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ 7 แห่งของโลก"

 

          แม้การประกวดสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ 7 สิ่งของโลกจะสิ้นสุดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีการประกวดอีกสิ่งหนึ่งที่ดำเนินต่อ นั่นก็คือการประกวดสิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ 7 แห่งของโลก

          อย่างที่ทราบกันแล้วว่า สิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 สิ่งของโลก อันได้แก่ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ไถ่บาปที่บราซิล, อาณาจักรปิกชู มาชู ที่เปรู, พีรามิดชิกเชน อิทซ่า ที่เม็กซิโก, กำแพงเมืองจีน, เมืองโบราณเพตรา ที่จอร์แดน, โคลอสเซียมที่กรุงโรม และปราสาททัชมาฮาลที่อินเดีย ได้รับคัดเลือกให้เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่จัดพิธีการขึ้นที่กรุงลิสบอน เมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ปี 07 ที่ผ่านมา

          โดยมีการโหวตคัดเลือกสถานที่ดังกล่าวราว 100 ล้านคนจากทั่วโลกผ่านทางอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ และข้อความเอสเอ็มเอส ซึ่งโพลครั้งนี้จัดทำโดยองค์กรไม่แสวงหากำไร ส่วนปิรามิดกีซ่า ที่อียิปต์นั้นเป็นเพียงสิ่งก่อสร้างเดียวที่หลุดรอดมาจาก 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ โดยยังคงสถานะตัวเองไว้ได้นอกเหนือจาก 7 สิ่งมหัศจรรย์ใหม่

          สำหรับโครงการการเลือกสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ทั้ง 7 สิ่งดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 1999 โดยนักผจญภัยชาวสวิสคือนายเบอร์นาร์ด เวเบอร์ ซึ่งกองทุน New 7 wonders สาขาสวิสของเขา ได้รับการเสนอชื่อสถานที่ต่างๆ จากทั่วโลกเข้ามาถึง 200 แห่ง และจัดอันดับสถานที่ให้แคบลงเหลือเพียง 21 อันดับ เพื่อให้ประชาชนได้ทำการโหวต (ขณะที่หอไอเฟล, สโตนเฮ้นจ์, เทพีเสรีภาพ ไม่ได้เข้ารอบเป็นหนึ่งใน 7 แต่อย่างใด)

          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายเบอร์นาร์ดได้เริ่มแคมเปญใหม่แล้วเรียบร้อยด้วยการเปิดคัดเลือก "สิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ 7 แห่งของโลก" โดยทางองค์กร New 7 Wonders จะเปิดรับการเสนอชื่อสถานที่ต่างๆ ไปจนถึงวันที่ 8 ส.ค. ปี 2008 และจะทำการจัดอันดับให้เหลือเพียง 21 อันดับให้สาธารณชนได้ทำการโหวตเช่นเดิม

          ยกตัวอย่างสิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติที่มีเกณฑ์เหมาะสมให้ได้รับการคัดเลือก เข้าโหวตก็อย่างเช่น อาจจะเป็นสัตว์สงวน, แก่งน้ำ, ชายฝั่งทะเล, อ่าวแคบ, ป่าไม้, ภูเขาน้ำแข็ง, เทือกเขา, ทะเลทราย, แนวปะการัง, ทะเล, ทะเลสาป, แม่น้ำ, น้ำตก, หน้าผา และโอเอซิส ติดตามรายละเอียดได้ที่ 

http://www.natural7wonders.com/ 

          อย่างไรก็ดีด้านองค์กรยูเนส โกที่ทำหน้าที่รักษาดูแลสถานที่มรดกโลกที่อยู่ในอันดับเองและทำการลงคะแนน ให้ 7 สิ่งมหัศจรรย์จากไกลๆ บอกว่าการทำเช่นนี้ เป็นเพียงผลสะท้อนจากกลุ่มที่ออกความเห็นเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น โดยที่ทางผู้จัดการประกวดก็ยอมรับว่าไม่มีทางที่จะพิสูจน์และป้องกันคนที่ทำ การโหวตในสิ่งที่พวกเขาชอบได้มากกว่า 1 ครั้ง และอ้างว่าการโหวตครั้งนี้เป็นการโหวตที่มาจากทุกประเทศทั่วโลก
ข้อมูลจาก

ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง