9.11.12

เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก


เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คือ สิ่งก่อสร้างที่มีความยิ่งใหญ่และโดดเด่น ทั้งหมด 7 แห่งด้วยกัน โดยมีการกล่าวถึงครั้งแรกในงานของเฮโรโดตุส (Herodotos หรือ Herodotus เมื่อราว 5 ศตวรรษก่อนคริสตกาล แต่หลังจากนั้นก็การอ้างถึงจากกวีชาวกรีก เช่น คัลลิมาฆุส แห่งคีเรนี, อันทิพาเตอร์ แห่งซีดอน และฟิโล แห่งไบเซนไทน์ เมื่อราวศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ หรือสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลก ในบัญชีแรก เรียกกันว่า เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ และหลังจากนั้น ยังมีบัญชีเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางและยุคปัจจุบัน โดยไม่ปรากฏผู้จัดทำรายการอย่างชัดเจน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
  1. มหาพีระมิดแห่งกีซา ของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เก่าแก่ที่สุด และยังคงปรากฏอยู่จนปัจจุบัน และมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์
  2. สวนลอยแห่งบาบิโลน สร้างโดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 เมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 6 ปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานหรือซาก แต่คาดว่าน่าจะอยู่บริเวณเดียวกับกรุงบาบิโลนในประเทศอีรัก
  3. เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย ที่เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีก สร้างเมื่อประมาณ 462 ปีก่อนคริสตกาล สร้างและตกแต่งด้วยทองคำ งาช้าง และอัญมณีต่างๆ มีความสูง 12 เมตร ภายหลังแผ่นดินไหวเสียหายจนหมดสิ้น
  4. วิหารอาร์เทอมีส (หรือ วิหารไดอานา) ที่เอเฟซุสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 4 ภายหลังถูกทำลายโดยพวกโกธส์จากเยอรมันที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อปี พ.ศ. 805 ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง
  5. สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส ที่ฮาลิคาร์นัสซัสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างโดยพระราชินีอาร์เทมิเซีย เป็นอนุสรณ์สถานแก่กษัตริย์มอโซลุสแห่งคาเรียที่สวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวและต่อมานำไปใช้ในการก่อสร้างโดยอัศวินแห่งโรดส์ ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง
  6. เทวรูปโคโลสซูส ในทะเลเอเจียน ประเทศกรีก เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของสุริยเทพ หรือเฮลิเอิส สูงประมาณ 32 เมตร ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวหลังการสร้างเพียง 60 ปี ปัจจุบันไม่ปรากฏซาก
  7. ประภาคารฟาโรส แห่ง อเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สมัยพระเจ้าปโตเลมี ประมาณ 271 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงเมื่อแผ่นดินไหวในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันมีป้อมขนาดเล็กอยู่บนซากที่เหลือ

เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง

สิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดจัดเป็นสิ่งก่อสร้างของโลกสมัยกลาง ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครได้กำหนดไว้ และรายการในยุคกลางก็ระบุไว้ไม่ตรงกัน แต่โดยมากจะยอมรับกับรายการต่อไปนี้
  1. โคลอสเซียม สนามกีฬาแห่งกรุงโรม ประเทศอิตาลี
  2. หลุมฝังศพแห่งอะเล็กซานเดรีย สุสานใต้ดินเมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
  3. กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน
  4. สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ
  5. เจดีย์กระเบื้องเคลือบ เมืองหนานกิง ประเทศจีน
  6. หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี
  7. สุเหร่าโซเฟีย แห่งคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือ กรุงอีสตันบูล) ประเทศตุรกี

เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน

กลุ่มวิศวกรโยธาแห่งสหรัฐอเมริกาได้รวบรวมรายชื่อของเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ในโลกยุคปัจจุบันไว้ดังนี้
  1. อุโมงค์รถไฟใต้ทะเล ประเทศอังกฤษ-ฝรั่งเศส
  2. ซีเอ็น ทาวเวอร์ ประเทศแคนาดา
  3. เขื่อนอิไตปู ประเทศบราซิล-ปารากวัย
  4. ตึกเอ็มไพร์สเตต ประเทศสหรัฐอเมริกา
  5. เดลต้า เวิร์ค ประเทศเนเธอร์แลนด์
  6. สะพานโกลเดนเกต ประเทศสหรัฐอเมริกา
  7. คลองปานามา ทวีปอเมริกาใต้

Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์

Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์
เนื้อเรื่องย่อ
Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์-เรื่องราวความมหัศจรรย์เริ่มจาก “เจส” และ “เลสลี่” เด็กชายและหญิงที่จากไม่ชอบหน้ากลายมาเป็นเพื่อนรักกัน และทั้งคู่ได้ค้นพบดินแดนอันอัศจรรย์สุดคณานับ ดินแดนที่เรียกขานว่า “Terabithia”ที่ทีราบิเตีย...ต้นไม้จะเดินได้...แมลงจะรบได้...ยักษ์จะปกป้อง...อินทรีจะพิฆาต ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ แค่หลับตา แล้วเปิดใจให้กว้าง..... และในดินแดนทีราบิเตียนี้เอง ที่บังเกิดสิ่งไม่คาดคิดเกินกว่าที่ใครจะกล้าจินตนาการ -Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์
เบื้องหลังหนัง (Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์) 

                   แดนกีวีเสน่ห์แรง กองถ่ายหนังทั่วโลกตบเท้าไปถ่ายทำเตรียมอวดโฉมในแฟนตาซีผจญภัยเรื่องเยี่ยม ‘Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์’ มนต์เสน่ห์แห่งนิวซีแลนด์ดึงดูดกองถ่ายหนังฟอร์มยักษ์มานักต่อนัก ล่าสุดเราจะได้เห็นนิวซีแลนด์เป็นฉากหลังของดินแดนมหัศจรรย์ทีราบิเตียใน ภาพยนตร์แฟนตาซีผจญภัย ประเทศนิวซีแลนด์ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามของภูมิประเทศ และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่ในวงการภาพยนตร์โลก เป็นที่รู้กันว่า นิวซีแลนด์คือโลเคชั่นที่กองถ่ายภาพยนตร์จากทั่วทุกมุมโลกนิยมยกกองไปถ่ายทำ โดยเฉพาะเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดอย่าง “โอ๊คแลนด์” ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองภาพยนตร์” ของนิวซีแลนด์ นับรวมตั้งแต่ยุค 80 มีกองถ่ายภาพยนตร์และละครโทรทัศน์จากทั่วโลกยกกองมาถ่ายทำที่โอ๊คแลนด์ทั้ง หมดกว่า 157 เรื่อง รวมถึงมหากาพย์แฟนตาซีผจญภัยฟอร์มยักษ์อย่าง The Chronicles of Narnia และ The Lord of the Rings ด้วย
เหตุผล ที่นักทำหนังติดใจยกกองถ่ายมาที่โอ๊คแลนด์บ่อยๆนอกจากความสวยงามของ ภูมิประเทศแล้ว ยังเป็นเพราะโอ๊คแลนด์มีทีมงานท้องถิ่น อุปกรณ์การถ่ายภาพยนตร์ครบครัน ที่สำคัญ ค่าใช้จ่ายไม่สูง ทิม คอดดิงตัน หนึ่งในคณะกรรมการบริษัท Film Auckland และผู้จัดการงานสร้าง The Chronicles of Narnia บอกว่า “ทีมสร้างภาพยนตร์พอใจข้อเสนอและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกของเรา และค่าใช้จ่ายก็ไม่สูงมาก เพราะเงินดอลล่าร์นิวซีแลนด์ถูกกว่าดอลล่าร์สหรัฐฯ” หนึ่งในสตูดิโอฮอลลีวู้ดที่ตัดสินใจเป็นลูกค้าขาประจำของเมืองโอ๊คแลนด์ก็ คือ Walden Media และ Walt Disney ที่เคยไปถ่ายทำ The Chronicles of Narnia ที่โอ๊คแลนด์ และกลับไปอีกในโปรเจ็คต์ใหม่ Bridge to Terabithia 

  Bridge to Terabithia เล่าเรื่องราวของเด็กหญิงและเด็กชายคู่หนึ่งที่ร่วมกันสร้างอาณาจักรมหัศจรรย์ชื่อ “ทีราบิเตีย” ขึ้นในป่า ที่ซึ่งพวกเขาเดินทางเข้าไปโดยโหนเถาวัลย์ข้ามลำน้ำใกล้บ้าน ที่นั่น ทั้งคู่ตั้งตนเป็นราชาและราชินีผู้ครองดินแดน และต่อสู้กับจอมวายร้ายลูกสมุนปีศาจสนธยา
การ ถ่ายทำเกิดขึ้นที่โอ๊คแลนด์ในหลายสถานที่ ได้แก่ โรงเรียนประถมริเวอร์เฮด ในเมืองริเวอร์เฮด ที่ใช้ ถ่ายทำเป็นโรงเรียนประถมลาร์คครีกช่วงปิดเทอมฤดูร้อน , ป่าวู้ดฮิลล์ที่ได้รับการแปลงโฉมให้เป็นฉากหลังของดินแดนทีราบิเธีย , ฟาร์มทางตะวันตกเฉียงเหนือใช้ถ่ายทำเป็นห้วยและสะพานข้ามสู่ทีราบิเธีย ส่วนฉากภายในถ่ายทำในสตูดิโอฮ็อบสันวิลล์ ทางตะวันตกของโอ๊คแลนด์ นอกจากนี้ทีมงานยังได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เข้าไปถ่ายทำในนิทรรศการผล งานของ ลีโอนาร์โด ดา วินชี ที่พิพิธภัณฑ์ Auckland Memorial ด้วย   

แล้ว ทิวทัศน์อันงดงามของโอ๊คแลนด์ก็ไม่ทำให้ทีมงานผิดหวัง ความร่มรื่นเป็นธรรมชาติของป่าวู้ดฮิลล์ทำหน้าที่เป็นฉากหลังของดินแดนทีรา บิเตียได้อย่างสมบูรณ์แบบ บรรยากาศของต้นไม้หนาทึบและลำคลองใสเย็น ชวนให้รู้สึกว่าอาจจะมีดินแดนมหัศจรรย์ซ่อนอยู่จริงๆ การถ่ายทำก็เป็นไปอย่างราบรื่นจากการประสานงานที่มีประสิทธิภาพของทีมงาน ท้องถิ่น งานนี้ทั้งผู้กำกับ ทีมงาน และนักแสดงจึงแฮปปี้กันอย่างทั่วหน้า
ตัวอย่างภาพยนต์ Bridge to Terabithia 
ภาพประกอบภาพยนต์  ‘Bridge to Terabithia ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์’











ข้อมูลจาก :nangdee.com

ยูเนสโกตำหนิการจัดอันดับ "7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก"


เมืองโบราณ "เพตรา" ที่จอร์แดน

อาณาจักรอินคา "มาชู ปิกชู" ที่เปรู

กำแพงเมืองจีน

"ชิคเชน อิทซ่า" ในเม็กซิโก

ภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์

           วานนี้ ( 9ก.ค.) นาง ซู วิลเลี่ยมส์ โฆษกหญิงขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ ยูเนสโก ตำหนิความคิดของกลุ่มรณรงค์ "นิว เซเว่น วันเดอร์ส" องค์กรเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ให้ประชาชนร่วมโหวตทางโทรศัพท์กับอินเตอร์เน็ต เกือบ 100 ล้านคนทั่วโลก เพื่อเลือก "7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก" ครั้งใหม่

           ซึ่งนางวิลเลี่ยมส์ระบุว่า เป็นการใช้บรรทัดฐานและเป้าหมายอื่นที่ไม่ใช่ของยูเนสโก้ในด้านการกำหนด มรดกโลก

           ทางด้านนายคริสเตียน แมนฮาร์ต เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของยูเนสโก วิจารณ์ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการส่งสารในด้านลบ ไปยังประเทศเจ้าของสถานที่ซึ่งไม่ติดอันดับ สิ่งที่ทำให้ยูเนสโก้ไม่สบายใจ คือ เหตุใดจึงต้องกำหนดไว้เพียงแค่ 7 แห่ง
           สำหรับการประกาศผลที่สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปยังมากกว่า 170 ประเทศทั่วโลกและคาดว่ามีผู้ชมประมาณ 1,600 ล้านคนนั้น สถานที่มหัศจรรย์ 7 แห่งที่ได้รับเลือกประกอบด้วย

            กำแพงเมืองจีน
            อนุสรณ์แห่งความรักทัชมาฮาลของอินเดีย
            ศิลานครสีชมพู "เปตรา" ของจอร์แดน
            สนามกีฬาโคลอสเซี่ยมในกรุงโรมของอิตาลี
            รูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่เมืองริโอ เดอ จาไนโรของบราซิล
            โบราณสถาน "มาชู ปิคชู" ของชาวอินคาโบราณในเปรู 
            เมืองโบราณ "ชีเชน อิตซา" ของชาวมายันโบราณในเม็กซิโก




รูปปั้นพระเยซูตระหง่านที่บราซิล
"โคลอสเซียม" ที่โรม อิตาลี


ปราสาททัชมาฮาล เมืองอัครา ประเทศอินเดีย

เผยโฉมแล้ว 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

 

          ในเว็บไซต์มูลนิธิที่มีชื่อว่า “สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ 7 อย่าง” อันเป็นมูลนิธิไม่แสวงหากำไร ที่ก่อตั้งโดยนายเบอร์นาร์ด เวเบอร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวสวิส ได้ประกาศรายชื่อบรรดาสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ทั่วโลก วานนี้ (7 ก.ค.) หลังจากที่ริเริ่มรณรงค์ให้ประชาชนทั่วโลก เลือกสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ของโลกเมื่อปี 2542 และเปิดให้มีการลงคะแนนทางเว็บไซต์ http://www.new7wonders.com/ รวมทั้งการส่งข้อความทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ 

     สำหรับผลการลงคะแนนจากประชาชนทั่วโลกกว่า 100 ล้านคน ได้เลือก 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ได้แก่ 

          1.ชิเชน อิตซา อัสเทค ไซต์ แห่งยูคาตาน ประเทศเม็กซิโก 

          2.ไครสต์ เดอะ รีดีมเมอร์ ที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล หรือ รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ในบราซิล 

          3.กำแพงเมืองจีน 

          4.มาจู พิคจู ประเทศเปรู 

          5.เมืองโบราณเปตรา จอร์แดน 

          6.โคลอสเซียม กรุงโรม 

          7.ทัชมาฮาล แห่งอินเดีย
 


          ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการคัดเลือก สิ่งมหัศจรรย์ 7 อย่าง ครั้งนี้ เพื่อให้ชาวโลกตระหนักถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์สถานที่สำคัญต่างๆ ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งนี้ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ทั้ง 7 มีทั้งอยู่นอกยุโรป และตะวันออกกลาง 

          ขณะที่ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกดั่งเดิมที่เกิดขึ้นกว่า 2 พันปีที่ผ่านมา ล้วนตั้งอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และมีเพียงพีระมิดแห่งกิซา อียิปต์ เท่านั้นที่ยังได้รับการจัดอันดับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

เลือกใหม่..."สิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ 7 แห่งของโลก"

 

          แม้การประกวดสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ 7 สิ่งของโลกจะสิ้นสุดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีการประกวดอีกสิ่งหนึ่งที่ดำเนินต่อ นั่นก็คือการประกวดสิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ 7 แห่งของโลก

          อย่างที่ทราบกันแล้วว่า สิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 สิ่งของโลก อันได้แก่ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ไถ่บาปที่บราซิล, อาณาจักรปิกชู มาชู ที่เปรู, พีรามิดชิกเชน อิทซ่า ที่เม็กซิโก, กำแพงเมืองจีน, เมืองโบราณเพตรา ที่จอร์แดน, โคลอสเซียมที่กรุงโรม และปราสาททัชมาฮาลที่อินเดีย ได้รับคัดเลือกให้เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่จัดพิธีการขึ้นที่กรุงลิสบอน เมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ปี 07 ที่ผ่านมา

          โดยมีการโหวตคัดเลือกสถานที่ดังกล่าวราว 100 ล้านคนจากทั่วโลกผ่านทางอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ และข้อความเอสเอ็มเอส ซึ่งโพลครั้งนี้จัดทำโดยองค์กรไม่แสวงหากำไร ส่วนปิรามิดกีซ่า ที่อียิปต์นั้นเป็นเพียงสิ่งก่อสร้างเดียวที่หลุดรอดมาจาก 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ โดยยังคงสถานะตัวเองไว้ได้นอกเหนือจาก 7 สิ่งมหัศจรรย์ใหม่

          สำหรับโครงการการเลือกสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ทั้ง 7 สิ่งดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 1999 โดยนักผจญภัยชาวสวิสคือนายเบอร์นาร์ด เวเบอร์ ซึ่งกองทุน New 7 wonders สาขาสวิสของเขา ได้รับการเสนอชื่อสถานที่ต่างๆ จากทั่วโลกเข้ามาถึง 200 แห่ง และจัดอันดับสถานที่ให้แคบลงเหลือเพียง 21 อันดับ เพื่อให้ประชาชนได้ทำการโหวต (ขณะที่หอไอเฟล, สโตนเฮ้นจ์, เทพีเสรีภาพ ไม่ได้เข้ารอบเป็นหนึ่งใน 7 แต่อย่างใด)

          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายเบอร์นาร์ดได้เริ่มแคมเปญใหม่แล้วเรียบร้อยด้วยการเปิดคัดเลือก "สิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ 7 แห่งของโลก" โดยทางองค์กร New 7 Wonders จะเปิดรับการเสนอชื่อสถานที่ต่างๆ ไปจนถึงวันที่ 8 ส.ค. ปี 2008 และจะทำการจัดอันดับให้เหลือเพียง 21 อันดับให้สาธารณชนได้ทำการโหวตเช่นเดิม

          ยกตัวอย่างสิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติที่มีเกณฑ์เหมาะสมให้ได้รับการคัดเลือก เข้าโหวตก็อย่างเช่น อาจจะเป็นสัตว์สงวน, แก่งน้ำ, ชายฝั่งทะเล, อ่าวแคบ, ป่าไม้, ภูเขาน้ำแข็ง, เทือกเขา, ทะเลทราย, แนวปะการัง, ทะเล, ทะเลสาป, แม่น้ำ, น้ำตก, หน้าผา และโอเอซิส ติดตามรายละเอียดได้ที่ 

http://www.natural7wonders.com/ 

          อย่างไรก็ดีด้านองค์กรยูเนส โกที่ทำหน้าที่รักษาดูแลสถานที่มรดกโลกที่อยู่ในอันดับเองและทำการลงคะแนน ให้ 7 สิ่งมหัศจรรย์จากไกลๆ บอกว่าการทำเช่นนี้ เป็นเพียงผลสะท้อนจากกลุ่มที่ออกความเห็นเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น โดยที่ทางผู้จัดการประกวดก็ยอมรับว่าไม่มีทางที่จะพิสูจน์และป้องกันคนที่ทำ การโหวตในสิ่งที่พวกเขาชอบได้มากกว่า 1 ครั้ง และอ้างว่าการโหวตครั้งนี้เป็นการโหวตที่มาจากทุกประเทศทั่วโลก
ข้อมูลจาก

ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง