17.6.13

ชีเชนอิตซา : ร่องรอยอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของชาวมายัน

กลุ่มคนที่เชื่อเรื่องวันสิ้นโลก เดินทางไปเยี่ยม ชมอย่างล้นหลาม หลังเกิดกระแสข่าวลือวันสิ้นโลก นั่นก็คือ ชีเชนอิตซา โบราณสถานซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศเม็กซิโก ซึ่งในอดีตเคยเป็นแหล่งอารยธรรมอันรุ่งเรืองของชนเผ่ามายัน
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgFi1HMvqcTnwsekc-TzdxwX4VnRUqcw0LdZM49bvktWrT4wEDuqrKks7-DTfulv5BLx3KpxhlgzYoW05ALhc7R7PWmC9nyzz5M1hgqIr5cipXsvSe6ZUKV9pMS_21fyf62GptiORfpOdU/s400/sisen.gif

ชีเชนอิตซา คือโบราณสถานที่สร้างขึ้นในสมัยอารยธรรมมายัน หรือระหว่างศตวรรษที่ 10 - 15  ปัจจุบันตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือคาบสมุทรยูคาตัน ทางตอนกลางของประเทศเม็กซิโก ชีเชนอิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายัน และถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายันด้วย


โดยนักโบราณคดีคาดว่า ชีเชนอิตซาเคยเจริญรุ่งเรืองสูงสุดประมาณปี ค.ศ. 600-1200  ซึ่งนอกจากจะเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางด้านศาสนาของคาบสมุทรยูคาตันอีกด้วย  ซึ่งโบราณสถานแห่งนี้ประกอบด้วยอาคารหิน เช่น วิหารพีระมิด พระราชวัง หอดูดาว และโรงอาบน้ำ เป็นต้น แต่ราวต้นศตวรรษที่ 13 ชาวมายันก็ได้ละทิ้งอาณาจักรอันรุ่งเรืองแห่งนี้ไป จนกระทั่งพื้นที่แห่งนี้ถูกกลืนหายไปในป่าทึบ ซึ่งเหตุผลของการอพยพออกจากพื้นที่แห่งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัด


ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นที่สุด ที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนชีเชนอิตซาแห่งนี้ ต้องหยุดมอง และชื่นชมกับความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ ก็คือวิหารแห่งกูกัลคัน หรือเอลกาสตีโญ (El Castillo) ซึ่งเป็นพีระมิดขั้นบันไดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางโบราณสถานดังกล่าว โดยพีระมิดแห่งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความฉลาดหลักแหลมของชาวมายันในด้านดาราศาสตร์ เพราะบันไดทางขึ้นของที่นี่ มีทั้งหมด 4 ด้าน ด้านละ 91 ขั้น เมื่อรวมกันจะได้ 364 ขั้น และเมื่อนับรวมแท่นที่อยู่ด้านบนสุด ก็จะเป็น 365 ขั้นพอดี ซึ่งสื่อถึงจำนวนวันในรอบ 1 ปี


นอกจากนี้ พีระมิดแห่งนี้ ยังหันหน้าในตำแหน่งที่สอดรับกับการเกิดวิษุวัต (Equinox) หรือปรากฏการณ์ที่โลกมีกลางวันเท่ากับกลางคืนอีกด้วย โดยภายในพีระมิด มีทางแคบๆ ที่พาไปสู่คูหาลับยอดวิหาร ตรงนี้เองที่นักโบราณคดีพบแท่นหินสลักที่เรียกว่า บัลลังก์เสือจากัวร์  ที่ทาด้วยสีแดงสด พร้อมฝังหยกเป็นดอกดวงตู่กับรูปสลักของ ชาคมุล อันเป็นรูปแบบหนึ่งของศาลหิน ที่จะประกอบด้วยหุ่นเอนกายตัวหนึ่งถือชาม หรือถาดอยู่เหนือท้อง


นักโบราณคดีเชื่อว่า ถาดนี้เป็นที่วางกำยานเซ่นสรวงรูปสลักดังกล่าว ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำสาส์น ถึงเทพเจ้า ส่วนชามอาจจะใช้สำหรับใส่หัวใจที่ควักจากเหยื่อบูชายัญ ระหว่างที่เกิดวิษุวัตในฤดูใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วง ซึ่งตรงกับเดือนมีนาคมและกันยายน โดยในช่วงนั้น แสงอาทิตย์จะส่องต้องขั้นบันไดด้านเหนือของพีระมิด และปรากฏภาพเงาอันน่าตื่นตะลึงที่ดูคล้ายงูกำลังเลื้อยขึ้นพีระมิดไปพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ที่ไต่ข้ามท้องฟ้า


ปัจจุบัน ชีเชนอิตซา ได้รับการขนานนามให้เป็นมรดกโลก และได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่สนใจไปเยือน สามารถเดินทางไปได้ทุกวัน แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ในการเดินทางไปท่องเที่ยวชีเชนอิตซานั้น ก็คือช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะเกิดวิษุวัตพอดี โดยนักท่องเที่ยวจะได้เห็นปราฏการณ์ทางธรรมชาติของการตกกระทบของแสงอาทิตย์ กับพีระมิด บริเวณวิหารแห่งกูกัลคัน ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยากเป็นอย่างยิ่ง

เมืองซีเชน อิตซา เขตยูคาทาน เม็กซิโก

เมืองซีเชน อิตซา เขตยูคาทาน เม็กซิโก



  สถานที่ตั้ง
ประเทศเม็กซิโก

  ชื่อสถานที่
ชิเชน อิตสา
: Chichen Itza

ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

   ชี เชนอิตซา  เป็นแหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยชาวมายาในเขตวัฒนธรรมเมโสอเมริ กัน ตั้งอยู่ในคาบสมุทรยูกาตัง รัฐยูกาตัง ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก

      ประวัติความเป็นมา
 

ชิเชน อิตสา เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารจำนวนมากมายซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ตัววิหารก่อสร้างซ้อนกันเป็นชั้น ๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า มหาวิหารแห่งนักรบ สร้างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สร้างทีหลัง วิหารเก่าแห่งชัคมูล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไปใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้า โดย ใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น

    ลักษณะ โดยทั่วไปของชิเชน อิตสา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้น ๆ มีบันไดกลาง รอบ ๆ ทำเป็นบริเวณตลาดทำนองเดียวกับสถานสถิตยุติธรรมของพวกโรมัน ซึ้งอยู่กลางเมือง ที่สาธารณะ เป็นที่รวมของฝูงประชาชน

    ชน เผ่ามายาแห่งเม็กซิโก สืบสายมาจากคนพวกแรกที่เดินทางจากเอเชีย เข้ามายัง อเมริกา ทางช่องแคบเบริ่ง ได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมทั้งในด้านเหี้ยมโหดอันป่าเถื่อน และความมี สติปัญญาอันสูงส่งในขณะเดียวกัน

    พวก มายาฝึกความเสียสละด้านมนุษยชาติ ควักหัวใจผู้ที่รับการบูชาออกสังเวยพระเจ้า ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาความรู้ด้านดาราศาสตร์ ศิลปะของสถาปัตยกรรม ทางอักษรศาสตร์ ด้านการเขียนบันทึกด้วยตัวอักษรพิเศษ และการค้นพบค่าของเลข 0 ทางคณิตศาสตร์ แต่ก็น่าแปลก ที่พวกนี้มิได้ค้นพบประโยชน์อันเกิดจากล้อเลื่อน

    ศูนย์ กลางของอารยธรรมของคนพวกนี้อยู่ที่ชิเชน อิตสา ในคาบสมุทรยุกาตัน ผู้ค้นพบ ขุมอารยธรรมเหล่านี้แล้วนำออกมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้ทราบคือ นายธอมป์สัน ชาวอเมริกา ผู้ใช้ ชีวิตซอกซอนท่องเที่ยวไปในหมู่พวกมายาด้วยความสนใจจะศึกษาสิ่งลึกลับต่าง ๆ

บาง ทีอาจกล่าวได้ว่าพวกมายาจะเป็นต้นตำรับของพวกบูชาความสงบที่ต้องการศาสนา รุนแรง นองเลือด หลังจากที่เคยพ่ายแพ้พวกชนเผ่าโตลเต็ค ซึ่งอยู่ตอนกลางของเม็กซิโก ในท้ายที่สุด พวกมายาก็ตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ที่นิยมความรุนแรงที่เหนือกว่า ในเมื่อผู้ชนะที่กระหายเลือด โลภที่ จะได้ทอง และทรัพย์สมบัติของพวกมายาอย่างเต็มที่

"ชิเชน อิตซา" สิ่งมหัศจรรย์ของชาวมายา อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าคำทำนายวันสิ้นโลก



โบราณสถานในเมืองติกัล แสดงให้เห็นภาพอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของชาวมายา
       พูดกันมาหลายปี เกี่ยวกับเรื่องวันสิ้นโลกในปี 2012 และในที่สุดเวลาก็ดำเนินมาจนใกล้วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2010 ที่คนบางกลุ่มเชื่อกันว่าจะเป็นวันสิ้นโลก
     
       ความเชื่อดังกล่าวมาจากปฏิทินของชาวมายา ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน เป็นอาณาจักรที่กว้างใหญ่ กินพื้นที่ 3 ประเทศคือเม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัส
     
       ชาวมายามีความสามารถทางดาราศาสตร์ สามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ ปฏิทินของชาวมายาเป็นที่ยอมรับว่ามีความเที่ยงตรงอย่างมาก เพราะเป็นปฏิทินที่ทำขึ้นจากระบบดวงดาว โดยปฏิทินนี้ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไรเลยถึง 380,000 ปี
     
       ทั้งนี้ ปฏิทินของชาวมายากลับสิ้นสุดลงถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ทำให้คนรุ่นหลังตีความไปว่า วันสิ้นสุดของโลกคือวันดังกล่าว บ้างก็ว่าจะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรุนแรงจนทำให้โลกถึงกาลล่มสลาย
     
       แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 ก็ตาม ชาวมายาก็ได้ทำชาวโลกยุคปัจจุบันได้ปั่นป่วนกันไม่น้อย แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ ปัจจุบันนี้ อาณาจักรมายาโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ลึกลับชวนค้นหา ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างหลายอย่างด้วยกันที่ยังคงสภาพมาจนปัจจุบัน โดยอาณาจักรมายามีเมืองสำคัญหลายเมือง คือ เมืองติกัล (Tikal) เพเตน (Peten) ในประเทศกัวเตมาลา ปาเลงกอ (Palenque) ในภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก เมืองโคปัน (Copan) ในประเทศฮอนดูรัส เมืองอิทซา (Itzar) อักซ์มัล (Uxmal) และมายาปัน (mayapan) ในบริเวณคาบสมุทรยูคาตัน
ชิเชน อิตซา ลักษณะคล้ายปิรามิดยอดตัด
       สำหรับโบราณสถานสำคัญของอาณาจักรมายา ได้แก่ “ชิเชน อิตซา” ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งได้รับการโหวตจากคนทั่วโลกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ที่ได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 โดยชิเชน อิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายา ถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายา การผสมผสานทางโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างหลากหลายชนิดของชิเชน อิตซา ทั้งพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (เทพเจ้าสูงสุดของชาวมายาซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์) ซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้ายและเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ของอารยธรรมมายาด้วย นอกจากนั้นยังมีวิหารชัค มุล (รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะแบบมายา) และมีห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสาหลายพันต้นและลานกว้างที่ใช้เป็นที่ชุมนุมของ ประชาชนในอดีต
     
       ชิเชน อิตสา เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารจำนวนมากซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ตัววิหารรูปร่างคล้ายปิรามิดยอดตัด ก่อสร้างซ้อนกันเป็นชั้นๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตร.กม. วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า มหาวิหารแห่งนักรบ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไปใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้า
     
       ลักษณะโดยทั่วไปของชิเชน อิตสา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้นๆ ประกอบด้วยบันไดทางขึ้น 4 ด้าน ด้านละ 91 ขั้น รวมกับยกพื้นที่ฐานของพีระมิดอีกนับรวมเป็นได้ 365 ขั้น เท่ากับจำนวนวันในหนึ่งปี ถือเป็นปฏิทินถาวรอย่างหนึ่งของชาวมายา โดยในวันที่ 21 ธ.ค. นี้ ที่เมืองโบราณ ชิเชน อิตซา จะมีการจัดงานที่มีชื่อว่า "จุดสิ้นสุดปฏิทินอันยาวนานของชาวมายา" อีกด้วย
     
       และนอกจากชิเชน อิตซา แล้ว ยังมีปิรามิดและวิหารโบราณของอาณาจักรมายาอีกหลายแห่งด้วยกันที่ล้วนแต่มีใหญ่โตสวยงาม อาทิ ตีกัล ซึ่ง เป็นซากเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายา ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตเอลเปเตน ประเทศกัวเตมาลา ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก สถาปัตยกรรมที่ตั้งอยู่ภายในที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงเวลาที่เมืองเจริญถึงขีดสุดคือช่วงยุคคลาสสิก คือ ค.ศ. 200 ถึง 900 ซึ่งช่วงนั้นเมืองตีกัลเป็นศูนย์กลางทั้งการปกครอง เศรษฐกิจ และการทหาร เนื่องจากเมืองตั้งอยู่ในจุดที่เชื่อมโยงกับพื้นที่อื่นๆ ของเมโสอเมริกาได้ทั้งหมด เช่น เมืองเม็กซิกัน เมืองติโอติวากัน
     
       หมายเหตุ : ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ หรือเดิมคือ เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน จัดทำขึ้นโดยองค์กรของสวิตซ์ The New Open World Corporation (NOWC) ซึ่งผลสรุปสุดท้ายได้ประกาศเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดยไม่เรียงตามลำดับคะแนน / วิกิพีเดีย
1.ชิเชน อิตซา คาบสมุทรยูคาตาน เม็กซิโก
ชิเชน อิตซาเป็นภาษามายาแปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ชิเชน อิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายา ถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายา การผสมผสานทางโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างหลากหลายชนิดของชิเชน อิตซา ทั้งพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (เทพเจ้าสูงสุดของชาวมายาซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์) วิหารชัค มุล (รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะแบบมายา) ห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสาหลายพันต้นและลานกว้างที่ใช้เป็นที่ชุมนุมของ ประชาชนในอดีตนั้น แสดงให้เห็นถึงความพิเศษในเชิงสถาปัตยกรรมด้านการจัดวางองค์ประกอบของ เนื้อที่และพื้นที่ใช้สอย โดยเฉพาะในส่วนของพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคานซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้าย และเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายาด้วย
2.รูปปั้นพระเยซูคริสต์ นครริโอเดอจาเนโร บราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาโด มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดาซิลวา คอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี้ ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ.2474 รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง ของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครริโอเดอจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี
3.มาชู ปิกชู ประเทศเปรู
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิ ปาชาคูเทค ยูปันกี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอินคา ได้สร้างเมืองแห่งหนึ่งบนภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกชื่อว่า มาชู ปิกชู (มีความหมายว่าภูเขาโบราณ) ปัจจุบันอยู่ในประเทศเปรู ที่ตั้งของเมืองนี้ค่อนข้างกันดารยากที่จะเข้าถึง โดยตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนและอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา ซึ่งภายหลังชาวอินคาได้อพยพออกจากเมืองนี้เนื่องจากเกิดโรคระบาดขึ้น หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามให้กับชาวสเปน เมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษ จนกระทั่งได้รับการค้นพบใหม่โดยฮิราม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2454
4.กำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีนตั้งอยู่บนพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน (ราวปี พ.ศ.322-337 หรือ 221-206 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีจุดประสงค์ในการเชื่อมโยงป้อมปราการให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อป้องกันการ รุกรานจากชนเผ่ามองโกลในอดีต มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 6,700 กิโลเมตร ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ผู้คนจำนวนหลายพันคนต้องอุทิศชีวิตให้กับสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมานี้ นอกจากนี้ เคยมีผู้กล่าวไว้ว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างเพียงอย่างเดียวในโลกที่ สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ กำแพงเมืองจีนได้รับการคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2529
 
5.เปตรา ประเทศจอร์แดน
เปตราเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าหิน เมืองโบราณเปตราตั้งอยู่ในทะเลทราย เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาเรตัสที่ 4 (9 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.40) ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมันมีเนื้อที่ สามารถจุผู้ชมได้ถึง 4,000 คน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณที่ หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้
6.ทัชมาฮาล เมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ชาห์ จาฮัน เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระนางมุมทัซ มาฮาล มเหสีที่พระองค์ทรงรักมากที่สุดซึ่งเสียชีวิตขณะมีอายุได้เพียง 39 ชันษาหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างคริสต์ศักราช 1631-1648 สร้างโดยใช้หินอ่อนสีขาวทั้งหลัง รวมทั้งใช้วัสดุในการตกแต่งชั้นเลิศจากทั่วเอเชียซึ่งขนส่งโดยใช้ช้างกว่า 1,000 ตัว ทัชมาฮาลได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปะแบบมุสลิมที่สวยงามสมบูรณ์แบบมากที่สุด ในอินเดีย นอกจากนี้ ทัชมาฮาลยังเป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดของอินเดีย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมทัชมาฮาลราวปีละเกือบ 3 ล้านคน
7.สนามกีฬาโคลอสเซียม กรุงโรม ประเทศอิตาลี
สิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งเป็นวงกลม ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงโรมแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ของอาณาจักรโรมัน สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร แนวคิดในการออกแบบโคลอสเซียมนี้ยังคงมีความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็นได้จากการออกแบบสนามกีฬาแทบทุกแห่งในโลกนับตั้งแต่นั้นมาต้อง ปฏิบัติตามแม่แบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้รับรู้จากภาพยนตร์และหนังสือบันทึกทาง ประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าสนามกีฬาแห่งนี้มีแต่การต่อสู้และการแข่งขัน ที่โหดร้ายต่างๆ นานา เพื่อความสุขของผู้ชมเท่านั้นก็ตาม

วิกิพีเดีย
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ทางธรรมชาติ
http://webboard.yenta4.com/topic/505340

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่!?



"โหวต 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่"

7 กรกฎาคม ค.ศ.2007 หรือพ.ศ.2550 (07/07/07) นี้ จะเป็นวันที่ "มูลนิธิ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่" (New 7 Wonders Foundation : N7W) ซึ่งดำเนินการมายาวนาน 7 ปีเต็ม แถลงความสำเร็จโครงการระดับโลก

ประกาศผลการเปิดให้พลเมืองโลกทั่วทุกมุมโลก

ลงคะแนนเสียงผ่านทางเว็บไซต์ www.new7wonders.com และทางโทรศัพท์ เพื่อลงมหาประชามติ ว่า สถานที่แห่งไหนในโลกใบนี้คู่ควรกับการยกย่องขึ้นเป็น "7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่" แทนที่ "7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ" ซึ่งจนถึงปัจจุบันเสื่อมสลายไปหมดแล้ว คงเหลือ "มหาพีระมิดแห่งกิซา" อยู่เพียง 1 เดียว

มูลนิธิ "N7W" ก่อตั้งโดยนายเบอร์นาร์ด เวบเบอร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวสวิส/นาเดียน เมื่อปีพ.ศ.2543

วัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนจัดหาเงินทุนอนุรักษ์-บูรณะมรดกวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่อันเกิดจากการสรรค์สร้างของมนุษย์

ก่อนหน้านี้ เวบเบอร์กับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญสถาปัตยกรรม นำโดย นายเฟเดอริโก เมเยอร์ อดีตผอ.องค์การยูเนสโก ได้คัดเลือกโบราณสถาน สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมถึงสิ่งก่อสร้างที่มีความโดดเด่น 77 แห่งทั่วโลก




หลังจากนั้น ได้ทยอยเปิดให้ชาวโลกลงคะแนนคัดเลือกมาตามลำดับ กระทั่งขณะนี้เหลืออยู่ 21 แห่ง ซึ่งกำลังรอการลงคะแนนขั้นตอนสุดท้ายให้เหลือ 7 แห่ง

ข้อมูลจากเว็บวิกิพีเดีย ระบุว่า "7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ" ประกอบด้วย

1. มหาพีระมิดแห่งกิซ่า ของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสต์กาล เป็นสิ่งมหัศจรรย์เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน

2. สวนลอยบาบิโลน สร้างโดยพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2

3. เทวรูปเทพเซอุส ที่อารามโอลิมเปีย สูง 12 เมตร

4. เทวาลัยอาร์เทมิส ที่เอเฟซุสในเขตเอเชียไมเนอร์

5. อนุสรณ์สถานเมาโซเลอุม ตั้งอยู่ในฮาลาคาร์นาสซุสในเอเชียไมเนอร์ สร้างโดยราชินีอาร์เทมิเซีย เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่กษัตริย์เมาโซลุสแห่งคาเรีย

6. เทวรูปเฮลิออส แห่งโรเดสของกรีกในทะเลเอเจียน เป็นรูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ของพระอาทิตย์ หรือ เทพเฮลิออส ความสูง 32 เมตร

7. ประภาคารฟาโรส แห่งอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สร้างในสมัยพระเจ้าปโตเลมี




มูลนิธิ "N7W" อ้างว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ข้างต้น คัดเลือกโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกยุคโบราณเพียงคนเดียว เพื่อนำมาจัดทำคู่มือท่องเที่ยวให้ชาวเอเธนส์

ดังนั้น จึงยุติธรรมกว่าถ้าครั้งนี้เปิดให้คนทั่วโลกลงมติพร้อมกันเป็นครั้งแรก และเปิดทางให้ความมหัศจรรย์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้าไปมีส่วนร่วมผสมผสานเข้ากับมรดกโลกสมัยเก่าที่มีอายุนับพันปีอีกด้วย ซึ่งล่าสุดมีคนเข้ามาลงคะแนนแล้วทั้งสิ้นถึง 40 ล้านเสียง

รายได้ครึ่งหนึ่งจากสปอนเซอร์ของโครงการนี้จะใช้สำหรับการดูแลฟื้นฟูสิ่งมหัศจรรย์และมรดกสำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลกต่อไป

อย่างไรก็ตาม มีเสียง "คัดค้าน" จากหน่วยราชการบางประเทศ ว่า "N7W" ไม่มีสิทธิ์เป็นตัวตั้งตัวตี ถือวิสาสะชี้นิ้วบอกว่า สิ่งไหนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกตามอำเภอใจ

โดยเมื่อเดือนเม.ย. กระทรวงวัฒนธรรมอียิปต์ ชาติที่ตั้งพีระมิดกิซา ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มต่อต้าน เพราะมองว่าเป็นการทำเพื่อสร้างประโยชน์ทางการค้า เอื้อประโยชน์ให้อุตสาหกรรมทัวร์บางกลุ่ม ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนโครงการล้วนๆ ขณะที่บางชาติแสดงความยินดี เพราะเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ




แม้จะมีมีเสียงต้านออกมาบ้าง แต่ในที่สุดรายชื่อ 21 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกก็ปรากฏสู่สาธารณะจนได้ และส่วนใหญ่มีชื่อเสียงเรียงนามคุ้นหูชาวโลก ได้แก่

- เมืองโบราณอาโครโปลิส กรุงเอเธนส์ กรีซ (Acropolis)

- ปราสาทและป้อมปราการอัลฮัมบรา เมืองเกรดานา สเปน (Alhambra)

- นครวัด กัมพูชา (Angkor)

- เมืองซีเชน อิตซา เขตยูคาทาน เม็กซิโก (Chichen Itza)

- รูปปั้นพระเยซูคริสต์ บนยอดเขาเมืองริโอ เดอ จานิโร บราซิล (Christ Redeemer)

- สนามโคลอสเซียม กรุงโรม อิตาเลียน (Colosseum)

- รูปปั้นหินโมอาย เกาะอีสเตอร์ ชิลี (Easter Island Statutes)

- หอไอเฟล กรุงปารีส ฝรั่งเศส (Eiffel Tower)

- กำแพงเมืองจีน (Great Wall)

- สุเหร่า โซเฟีย นครอิสตันบุล ตุรกี (Hagia Sophia)

- วัดคิโยมิสุ เมืองเกียวโต ญี่ปุ่น (Kiyamizu Temple)

- พระราชวังเครมลิน/ วิหารเซนต์เบซิล กรุงมองโก รัสเซีย (Kremlin/St. Basil)

- เมืองสาบสูญแห่งอินคา "มาชูปิกชู" (Machu Picchu)

- ปราสาทนอยชวานสไตน์ เยอรมนี (Neuschwanstein Castle)

- "เปตรา" เมืองนครหินสีชมพู จอร์แดน

- มหาพีระมิดกิซา อียิปต์ (Pyramids of Giza) ซึ่งตอนแรกไม่ติดโผ แต่ทางมูลนิธินำชื่อเข้ามาใหม่เพื่อให้เกียรติในฐานะ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ยังเหลืออยู่

- เทพีเสรีภาพ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (Statue of Liberty)

- กองหินประหลาด "สโตนเฮนจ์" เมืองเอเมสบิวรี่ อังกฤษ (Stonehenge)

- โรงอุปรากร "โอเปร่า เฮาส์" นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย (Sydney Opera House)

- ทัชมาฮาล เมืองอักรา อินเดีย (Tal Mahal)

- เมืองโบราณ "ทิมบัคตู" มาลี (Timbuktu)


สำหรับผู้สนใจศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ราวการจัดอันดับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ยังคงติดตามได้จากเว็บ www.new7wonders.com